หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2454 ในเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบ้านม้า อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นโอรสคนสุดท้อง ในบรรดาโอรส-ธิดา ทั้ง 6 คน ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) โดยชื่อ "คึกฤทธิ์" นั้น มาจากการที่ชอบร้องไห้เสียงดังในวัยทารก จึงได้รับพระราชทานนามนี้จาก สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ
เป็นน้องชายแท้ ๆ ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี 4 สมัย สื่อมวลชนจึงนิยมเรียกทั้งคู่ว่า "หม่อมพี่ หม่อมน้อง" นอกจากนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และ ม.ร.ว.เสนีย์ ยังมีพี่สาวคือ ม.ร.ว. บุญรับ พินิจชนคดี (สมรสกับ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี หรือ พินิจ อินทรทูต)
ในเบื้องต้น ท่านได้เข้าศึกษาในโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย (วังหลัง) จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเดินทางไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียน Trent College จากนั้น ได้สอบเข้า 'วิทยาลัยควีนส์' (The Queen's College) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เพื่อศึกษาวิชาปรัชญา,เศรษฐศาสตร์ และการเมือง (Philosophy, Politics and Economics - PPE) โดยสำเร็จปริญญาตรีเกียรตินิยม (และ 3 ปีต่อมา ก็ได้รับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยดังกล่าว ตามธรรมเนียมสำหรับผู้สำเร็จปริญญาเกียรตินิยม และได้ผ่านการใช้ความรู้ความสามารถในวิชาที่ร่ำเรียนมาจนมีประสบการณ์ช่ำชอง มาระยะหนึ่ง)
ชีวิตส่วนตัว สมรสกับหม่อมราชวงศ์หญิงพักตร์พริ้ง ทองใหญ่ เมื่อ พ.ศ. 2479 มีบุตรธิดา 2 คน คือ หม่อมหลวงรองฤทธิ์ ปราโมช และ หม่อมหลวงหญิง วิสุมิตรา ปราโมช ต่อมาได้แยกกันอยู่กับหม่อมราชวงศ์พักตร์พริ้ง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พักอยู่ที่บ้านในซอยพระพินิจ ซึ่งเป็นซอยย่อยอยู่ในซอยสวนพลู ถนนสาทรใต้ เขตสาทร บ้านหลังนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า "บ้านซอยสวนพลู"
บทบาททางการเมือง
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ได้รับฉายาจากนักการเมือง และสื่อมวลชนมากมายทั้ง "เฒ่าสารพัดพิษ" "ซือแป๋ซอยสวนพลู" ภายหลังเมื่อมีอาวุโสสูงวัย จนสามารถแสดงความเห็นทางการเมือง ได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ จึงได้รับฉายาว่า "เสาหลักประชาธิปไตย"การเมืองยุคปัจจุุบัน ที่ปรากฏความขัดแย้งแตกแยก เรื่องแนวความคิดที่นำไปสู่การแบ่งแยกประชาชนออกเป็นสีต่างๆ อย่างชัดเจน ในสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อาจยังไม่มี แนวคิดต้องการให้มีนายกฯ คนกลาง เข้ามาบริหารประเทศเพื่อลดความขัดแย้งสร้างความสมานฉันท์ขึ้นในประเทศ ที่มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มพยายามชูขึ้นมา ก็อาจยังไม่ได้รับการตอบรับมากนัก
อีกบทบาทสำคัญของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช คือ เป็นผู้มีความสามารถในทางวรรณกรรม และวรรณศิลป์อย่างที่หาตัวจับได้อย่าง มีผลงานหนังสือที่มีชื่อเสียงระดับประเทศมากมาย ที่ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น สี่แผ่นดิน, ไผ่แดง, กาเหว่าที่บางเพลง, หลายชีวิต, ซูสีไทเฮา, สามก๊กฉบับนายทุน และเรื่องสั้น "มอม" ซึ่งได้ใช้เป็นบทความประกอบแบบเรียนภาษาไทยในปัจจุบัน บางชิ้นมีผู้นำไปทำเป็นละครโทรทัศน์ เช่น สี่แผ่นดิน, หลายชีวิต และ ทำเป็นภาพยนตร์ เช่น กาเหว่าที่บางเพลง
ต้องยอมรับว่าผลงานของท่านเป็นแม่แบบและเแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คน โดยเฉพาะการสร้างแม่พลอย ในอมตะนิยายผลงานชิ้นยอด "สี่แผ่นดิน" นอกจากนี้ท่านยังมีผลงานอีกมากมายทั้งนิยาย เรื่องแปล เรื่องสั้น บทความ บทวิจารณ์ เช่น สี่แผ่นดิน,ไผ่แดง, กาเหว่าที่บางเพลง, ซูสีไทเฮา,สามก๊กฉบับนายทุน, ราโชมอน, มอม, เพื่อนนอน, หลายชีวิต, ฉากญี่ปุ่น, ยิว, เจ้าโลก, ฝรั่งศักดินา, สัพเพเหระคดี, โครงกระดูกในตู้, พม่าเสียเมือง, ถกเขมร ฯลฯ และความสามารถที่ต้องยอมรับเช่นนี้ ท่านจึงเป็นผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องเป็น "ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์" คนแรกของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2528
ในบั้นปลายชีวิต ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง หัวหน้าพรรคกิจสังคม ในปี พ.ศ. 2528 พร้อมทั้งปิดฉากของการนักการเมืองลง แต่ก็ยังมีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอยู่เรื่อยมาทั้งจากการให้สัมภาษณ์ และเขียนบทความ ลงในคอลัมน์ "ซอยสวนพลู" นับว่าท่านเป็นผู้มีบุคลิกอันโดดเด่นด้วยการใช้วาทศิลป์อันยอมเยี่ยม ที่มีความร้อนแรง และแฝงด้วยอารมณ์ขันที่มีรสนิยม หลายครั้งที่คำให้สัมภาษณ์และบทความในคอลัมน์ของท่านได้เป็นประเด็นร้อนใน สังคม ยืนยันได้จาก การมีหนังสือและบทความมากมายที่รวบรวมเอาเกร็ดคำพูดและการแสดงออกของท่าน ถ่ายทอดออกมา.
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2538 สิริรวมอายุ 84 ปี 5 เดือน 20 วัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 กระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอชื่อให้ท่านเป็น บุคคลสำคัญของโลก กับทาง ยูเนสโก
เนื่องในวาระโอกาสครบรอบ 100 ปี ชาตกาล วันที่ 20 เม.ย. 2554 และ ทางยูเนสโกมีมติยกย่องให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก ใน 4 สาขา ได้แก่ สาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับยกย่อง ซึ่งคนไทยทุกคนควรภาคภูมิใจ